Thursday, May 12, 2016

อาจารย์ ดร. ป๋วย กับรางวัลแมกไซไซ

เมื่อปลายสิงหาคม 2508 ผมถูกตามตัวจากชุมนุมวรรณศิลป์ ส. มธ. ซึ่งผมเป็นรองประธาน  ให้ไปประชุมร่วมกับผู้แทนนักศึกษาปีที่ 2 และ 3 เพื่อหารือกันว่า

ศาสตราจารย์ ดร. ป๋วย อึ๊งภากรณ์  คณบดี คณะเศรษฐศาสตร์  ซึ่งเพิ่งรับแต่งตั้งเมื่อราว 2 เดือนก่อนนั้น  ท่านได้รับรางวัล "แมกไซไซ" ถามว่าเหล่าศิษย์คิดจะแสดงความยินดีต่อท่านอย่างไรดี

ผู้แทนนักศึกษาปีที่ 3 เสนอว่าให้เราจัดของขวัญของที่ระลึกปีละชิ้น  โดยชั้นปีที่ 3 จะจัดกระเช้าใบใหญ่    ชั้นปีที่ 2 อย่าจัดซ้ำกัน  ผมจึงเสนอว่าจะแต่งกลอนสดุดีท่านอาจารย์ ดร. ป๋วย

เรามีเวลาเพียง 5 วัน  จะถึงกำหนดที่ท่านคณบดีจะมารับการแสดงความยินดีที่คณะ  เพราะท่านมีตำแหน่งสำคัญเป็นผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยอีกตำแหน่งด้วย

ถ้าเราซื้อเป็นของขวัญสำเร็จรูปก็จะง่ายดายใช้เวลาไม่กี่นาที  ค่าของขวัญ 150 บาท  เฉลี่ยคนละบาทเดียว  แต่ที่ผมเสนอแต่งกลอน  ก็เพราะผมเป็นรองประธานชุมนุมวรรณศิลป์  แต่ลืมนึกไปว่าตนเองถนัดแต่งโคลงสี่สุภาพ  แต่งกลอนไม่ได้เรื่อง  แต่เพื่อให้ท่านอาจารย์ชื่นใจ  เมื่อได้ฟังบทกลอนซึ่งท่านเองเป็นศิษย์แต่งร้อยกรองของภราดา ฟ. ฮีแลร์  ท่านจึงแต่งได้ทั้งโคลงฉันท์กาพย์กลอน

ผมเค้นสมองกลวงๆ แต่งกลอนสดุดีได้ 5 บท  ส่งให้เพื่อนที่มีความสามารถในการใช้พู่กันเขียนอักษรวิจิตร  นำไปเขียนลงกระดาษสีสวยๆ ใส่กรอบแบบกรอบรูป  คุณ(ประ)ทินวัฒน์  มฤคพิทักษ์ รับภาระไปดำเนินการโดยจ่ายเงินไม่ถึง 50 บาท

ครั้นพิธีแสดงความยินดี  ท่านอาจารย์เลขานุการคณะกล่าวนำ  และมอบของขวัญเสร็จก็เชิญผมอ่านกลอน  ท่านอาจารย์และนักศึกษานิ่งฟังเงียบเรียบร้อยจนจบ  เสียงปรบมือกราวใหญ่  ผอ่านเสร็จก็ชวนเพื่อนผู้แทนทั้ง 5 คนของรุ่นปี 2 มอบบทกลอน  ท่านถามว่าใครแต่ง  ผมตอบว่าผมแต่งเองครับ

ผมเป็นนักศึกษาที่ "ไม่เอาถ่าน"  คือ  ใช้เวลาเกือบทั้งวันอยู่ที่สโมสรเตรียมและจัดกิจกรรมต่างๆ  แต่ประหลาดที่เพื่อนร่วมรุ่นก็ยังเลือกตั้งเป็นหนึ่งในห้าของผู้แทนชั้นจนถึงปีที่ 4  (แต่ผมเรียนจบ 5 ปีครึ่ง)  ดังนั้น จึงมีโอกาสได้พบท่านคณบดี ดร. ป๋วย  ในกิจกรรมของคณะปีละ 2 - 3 ครั้งเท่านั้น

ผมจบปริญญาตรี  ไปรับราชการกระทรวงพาณิชย์ในต่างจังหวัด  จนกระทั่งปี 2519 เกิดเหตุการณ์ 6 ตุลา  ทำให้ท่านอาจารย์ ดร. ป๋วย  ประสบเคราะห์กรรมจากความบ้าคลั่งทางการเมืองจนต้องลี้ภัยไปอยู่ต่างประเทศ  ผมและครอบครัวก็ได้แต่เศร้าสลดสะเทือนใจ  และเศร้ามากขึ้นอีกใน 3 - 4 ปีต่อมาเมื่อมีข่าวว่าท่านป่วยเส้นเลือดแตกจนกลายเป็นอัมพฤกษ์มือขวาใช้การไม่ได้  ที่ร้ายสุดคือพูดไม่เป็นถ้อยคำปกติ

ปี 2525 ปลายกันยายน  ผมเป็นพาณิชย์จังหวัดชลบุรี  ซึ่งตอนนั้นเป็น "ศูนย์ของการผลิตแปรรูปและส่งออกสินค้าผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง"    ขณะนั้นมีปัญหามาก  ผมจึงพยายามศึกษาจนครบวงจรและชวนพ่อค้าจากชลบุรีใช้เงินส่วนตัวไปดูงานการนำเข้าและการใช้มันสำปะหลังในยุโรป

รศ. ดร. เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง  สนใจมากจึงขออนุมัติมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ไปในคณะของเราด้วย  เมื่ออยู่ดูงานที่กรุงลอนดอนเสร็จ  เย็นนั้น  ดร. เจิมศักดิ์บอกว่าขอสละสิทธิ์ไม่ไปกินที่โซโห และดูโชว์  เพราะจะแยกไปเยี่ยมอาจารย์ ดร. ป๋วย  ผมจึงตาม ดร. เจิมศักดิ์ไป  โดยนั่งรถไฟออกชานเมืองราว 7 สถานี  ก็ไปถึงที่พักของท่านซึ่งเป็นทาวน์เฮาส์ 2 ชั้นเล็กๆ

ดร. เจิมศักดิ์รายงานว่า "คุณศุภกิจ  ศิษย์เก่ารุ่นแรกๆ ที่ท่านเป็นคณบดี"  ผมเสริมว่าที่แต่งกลอนให้ท่านเมื่อครั้งรับรางวล "แมกไซไซ"  ท่านเพ่งหน้าผมแล้วพยักหน้าแสดงอาการว่า "จำได้ๆ" แต่ผมไม่มีอะไรจะสนทนา  ในขณะที่ ดร. เจิมศักดิ์  ซึ่งเป็นทั้งศิษย์ใกล้ชิดและเป็นอาจารย์เศรษฐศาสตร์ ธรรมศาสตร์  จึงมีเรื่องเล่ามากจนเวลาสมควร  เราถ่ายรูปกับท่านไว้ก่อนกลับไปโดยรถไฟอีกขบวนหนึ่ง

ต่อมาอีกหลายปี  ขณะผมมาทำงานเป็น "ผู้ตรวจการพาณิชย์"  ในกรุงเทพฯ  ได้รับการแต่งตั้งจากศาสตราจารย์ คุณหญิงนงเยาว์ ชัยเสรี อธิการบดี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ให้ร่วมเป็นคณะกรรมการจัดงานฉลองอายุ 70 ปี ของศาสตราจารย์ ดร. ป๋วย อึ๊งภากรณ์  ผมทั้งดีใจที่มีโอกาสได้ฉลองพระคุณและแปลกใจว่าข้าราขชการเล็กๆ ที่อยู่ใน "กรุ" เหตุใดจึงได้รับแต่งตั้งด้วย

ในการประชุมครั้งแรก  ท่านอธิการบดีได้ให้กรรมการแนะนำตัวเองก่อนเริ่มวาระต่อไปจนปิดประชุม  ผมก็ตรงไปยังประตู  แต่มีอาจารย์สตรีอาวุโสกว่าผมยืนดักอยู่ถามเชิงปรารภว่า

"คุณใช่ไหม  ศุภกิจ นิมมานนรเทพ  ที่แต่งกลอนแมกไซไซให้อาจารย์ ดร. ป๋วย"

ผมรับคำอย่างงงๆ  สงสัยว่าทำไมอาจารย์ท่านนี้ซึ่งผมไม่รู้จัก  แต่กลับรู้ว่าผมแต่งกลอนนั้นซึ่งผมเชื่อว่าเพื่อนนักศึกษาเศรษฐศาสตร์ทั้งคณะที่อยู่ในเหตุการณ์ผมอ่านกลอนสดุดีท่านอาจารย์ ดร. ป๋วย  ก็คงจำได้สัก 2 - 3 คน

ท่านอาจารย์สตรี  ยื่นนามบัตรให้ผมและไขความว่า "หลังเหตุการณ์ 6 ตุลาแล้ว  พี่ไปช่วยกันเก็บของส่วนตัวในห้องอธิการบดีที่อาจารย์ป๋วยเคยทำงาน  ก็ไม่ค่อยมีสมบัติอะไรมากหรอกนะ  แต่กลับมีบทกลอนที่คุณแต่งให้ท่านนั้น  ตั้งอยู่บนโต๊ะทำงาน  พวกเราได้เก็บรวมใส่กล่องไปมอบให้ลูกชายท่านรับไปแล้ว....คุณจำบทกลอนนั้นได้ไหม  จะได้คัดมาแสดงในวาระนี้อีกน่ะ...."  เวรกรรม  ผมจำไม่ได้  แต่จำได้ว่าผู้ที่สนทนากับผมคือ (พี่) รศ. จำเรียง ภาวิจิตร  ผู้อำนวยการสำนักเสริมศึกษาและบริการสังคมมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์  เพราะท่านให้นามบัตรแก่ผมด้วย

วันที่ 13 มกราคม 2559  คุณทินวัฒน์ มฤคพิทักษ์  บอกผมและเพื่อนๆ ว่าให้นำเหตุการณ์หรือนาทีประทับใจที่แต่ละคนมีต่อท่านอาจารย์ ดร. ป๋วย มาเล่าสู่กันฟังในวาระ 100 ปี ชาตกาลของท่านในปีนี้  เขาบอกให้ผมรำลึกถึงกลอนสดุดีที่แต่งให้ท่านนั้นนำมาอ่านให้คนฟังด้วย  โธ่....52 ปีแล้ว ผมจำได้เลาๆ เพียงบทแรกกับบทท้าย คือ

                 ⊙   อยากจะให้       โลกนั้น         เป็นฉันนี้
                       คือคนดี            ทำดี              คนเห็น
                       แล้วเชิดชู         เทิดผลงาน    ท่านบำเพ็ญ
                       เพื่อจะเป็น        ตัวอย่าง         สร้างคนดี

                           ฯลฯ  บทที่ 2-3-4  เป็นเรื่องราวในช่วงนั้น

                 ⊙   อยากจะให้        โลกนั้นเป็น    เช่นวันนี้
                       คือคนดี              รับชูเชิด        เทิดสรรเสริญ
                       ยกย่องงาน         มีคุณค่า        ยิ่งกว่าเงิน
                       โลกเจริญ           ด้วยคุณธรรม  นำโลกเอย

                ▪---------------------------------------------------------------------------▪

หลังเกษียณ  ผมบรรยาย/สอนฝึก "พลังลมปราณ" เพื่อฟื้นฟูสุขภาพ ให้แก่ผู้สนใจเข้าฟังฟรี  มีหนังสือคู่มือแจกฟรี  เฉพาะที่สำนักเสริมศึกษาและบริการสังคม ธรรมศาสตร์  ท่าพระจันทร์  ตั้งแต่ 2543 จนบัดนี้  สิบปีแรกผมบรรยายทุกเดือนเพราะมีคนสนใจมาก  โดยเฉพาะที่ธนาคารแห่งประเทศไทย

ครั้งแรก  ผมรับเชิญมาบรรยาย/สอนให้แก่พนักงานฝ่ายบัญชี  จัดที่บางขุนพรหม  ต่อมาอีก 3 ครั้ง  เชิญให้ผมไปกับคณะซึ่งไปจัดสัมมนาที่หัวหิน  ครั้งละนับร้อยคน  ผมคิดว่าคงหมดคนสนใจแล้ว  แต่อีกเดือนเศษ  คุณวิไล  ผู้ประสานงานได้โทรศัพท์จองคิวบรรยายว่า  ยังมีผู้สนใจอีกหลายสิบคนที่ไปกับกอง/ ฝ่ายไม่ได้  ขอให้จัดบรรยายที่บางขุนพรหม   ผมถือว่าการไปบรรยายที่นี่  เสมือนได้ทดแทนพระคุณท่านอาจารย์ ดร. ป๋วย อึ๊งภากรณ์  ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย ในอุมคติของทุกคน  ผมจึงขอให้คุณวิไลแจ้งจำนวนผู้สมัครเข้าฟัง เพื่อผมจะนำหนังสือฯ คู่มือฝึก "พลังลมปราณ" ไปแจกให้ครบทุกคน  ช่วงแรกคุณวิไล บอกว่า "สัก 100 เล่มก็พอค่ะ"  ต่อมาแจ้งเพิ่มอีกๆ จนถึงวันที่ผมมาบรรยาย คุณวิไลโทรศัพท์ "ขอ 500 เล่มค่ะ"

ขณะที่ผมเดินตามผู้ประสานงานไปยังห้องบรรยาย  เธอเล่าว่า  "ผู้สนใจเพิ่มขึ้นๆ ต้องเปลี่ยนห้องบรรยายให้มีที่นั่งพอเพียงจนที่สุดยอดผู้ฟัง 400 กว่าคน  จึงต้องใช้ห้องประชุมใหญ่ 500 ที่นั่ง  ผมชะงักอยู่หน้าประตูเข้าห้อง  เพราะป้ายหน้าห้องคือ "ป๋วย อึ๊งภากรณ์" มีภาพเหมือนของท่านอยู่หน้าเวที

ผมตื้นตันใจมาก  หากใครสังเกตคงได้ยินเสียงผมสั่น  เพราะผมพึมพำพูดขอบพระคุณท่านอาจารย์ที่เมตตาให้รางวัลที่มีค่าสูงสุดแก่ชีวิตผม คือ การได้ขึ้นเวทีไปเป็นวิทยากรใน "ห้องประชุม ดร. ป๋วย อึ๊งภากรณ์"  ณ ธนาคารแห่งประเทศไทย บางขุนพรหม  ผมจึงซึ้งใจว่าด้วยจิตวิญญาญของท่าน  แม้ศิษย์จะเรียน "โหลยโท่ย" แต่ถ้าทำความดีมีค่าต่อสังคม ท่านก็มอบรางวลให้ ดังรางวัลที่ผมได้ในครั้งนั้น  ทำให้ตื้นตันตลอดชีวิต

No comments:

Post a Comment